หลายคนที่เริ่มสนใจเรื่องการทำประกันมักมีคำถามว่า ประกันชีวิตกับประกันสุขภาพ เป็นสิ่งที่ซ้ำซ้อนกันไหม ? หรือ ทำแค่แบบใดแบบหนึ่งพอหรือเปล่า ? คำถามเหล่านี้สะท้อนความสับสนที่เกิดขึ้นจริงในตลาดประกันปัจจุบัน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลากหลายจนเลือกไม่ถูก บางคนตัดสินใจทำประกันชีวิตไว้ก่อน แต่พอเจ็บป่วยก็ต้องควักจ่ายเอง บางคนเลือกประกันสุขภาพแบบจัดเต็ม แต่กลับไม่มีใครดูแลด้านการเงินให้ครอบครัวเมื่อจากไปโดยไม่คาดคิด
ประเด็นคือ ประกันชีวิตและประกันสุขภาพมีบทบาทต่างกันอย่างชัดเจน และไม่สามารถทดแทนกันได้อย่างเต็มรูปแบบ การเข้าใจความแตกต่างและความจำเป็นของแต่ละแบบจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนที่ถูกต้อง
1. ประกันชีวิตดูแล “คนข้างหลัง” ประกันสุขภาพดูแล “ตัวเราเอง”
ประกันชีวิตคือการโอนความเสี่ยงเรื่อง “การจากไป” ไปยังบริษัทประกัน เพื่อลดภาระที่คนข้างหลังต้องแบกรับ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย ค่างวดบ้าน หรือค่าเรียนลูก ขณะที่ประกันสุขภาพคือการโอนภาระค่ารักษาพยาบาลให้บริษัทประกันในยามที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสองแบบจึงตอบโจทย์คนละช่วงของชีวิตและมีบทบาทที่ต่างกันอย่างชัดเจน
2. ประกันชีวิตให้ “เงินก้อน” ประกันสุขภาพให้ “ความคุ้มครองต่อเหตุการณ์”
เงินประกันชีวิตมักจ่ายเป็นเงินก้อนเมื่อตัวผู้เอาประกันเสียชีวิต หรือกรณีร้ายแรงบางกรณี เช่น ทุพพลภาพถาวร แต่ประกันสุขภาพจะจ่ายตามค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริง และมักมีวงเงินต่อโรคหรือต่อครั้ง การวางแผนจึงไม่สามารถแทนกันได้ เช่น หากเข้าโรงพยาบาลจากอุบัติเหตุหนัก เงินค่ารักษาอาจเกินแสน แต่ประกันชีวิตจะไม่จ่ายหากผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่
3. ประกันสุขภาพบางประเภทมีวันหมดอายุ แต่ประกันชีวิตสามารถวางแผนระยะยาว
ประกันสุขภาพโดยทั่วไปมีระยะเวลาเอาประกัน เช่น รายปี หรือราย 5 ปี และบริษัทประกันมีสิทธิ์พิจารณารับต่อสัญญาใหม่ทุกครั้ง ต่างจากประกันชีวิตบางประเภท เช่น ประกันชีวิตแบบตลอดชีพหรือแบบสะสมทรัพย์ ที่ให้ความมั่นคงในระยะยาว พร้อมเงินคืนหรือเงินออมในอนาคต เหมาะกับการวางแผนทั้งเรื่องมรดกและการเกษียณ
4. เมื่อเจ็บป่วยหนัก จำเป็นต้องมีประกันสุขภาพเสริม
หลายกรณีที่พบในชีวิตจริงคือ ผู้เอาประกันมีประกันชีวิตวงเงินสูง แต่ต้องแบกรับค่ารักษาโรคมะเร็งเป็นล้านบาทด้วยเงินตัวเอง เพราะไม่มีความคุ้มครองด้านสุขภาพ หากหวังจะใช้เงินจากประกันชีวิตก็ต้องรอจนเสียชีวิตเท่านั้น จึงเป็นตัวอย่างชัดเจนว่า ทั้งสองแบบจำเป็นต้องมีไปพร้อมกันในแผนประกันที่สมดุล
5. ประกันชีวิต+สุขภาพ ปิดความเสี่ยงทั้ง “ก่อน” และ “หลัง” ป่วย
ในโลกที่ค่ารักษาแพงขึ้นทุกปี และความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ทุกเวลา การมีแค่ประกันชีวิต หรือมีแค่ประกันสุขภาพ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป การวางแผนให้มีทั้งสองแบบในสัดส่วนที่เหมาะสมจึงเป็นการสร้างความมั่นคงให้ทั้งกับตัวเองและคนที่รักในระยะยาวอย่างแท้จริง
ประกันชีวิตและประกันสุขภาพไม่ใช่เรื่องซ้ำซ้อน แต่เป็นคู่มือความมั่นคงในสองมิติที่แตกต่างกัน การทำแค่แบบใดแบบหนึ่งจึงเท่ากับปล่อยให้มี “ช่องว่างของความเสี่ยง” ที่อาจสร้างปัญหาทางการเงินในอนาคตได้อย่างไม่คาดคิด