บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจพลังงานแบบครบวงจรแห่งเอเชีย-แปซิฟิก รายงานผล ภาพรวมการดำเนินงานในครึ่งปีแรก 2561 ของบริษัทฯ เติบโตตามเป้าหมาย มีรายได้จากการขายรวม 1,513 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ48,005ล้านบาท)เพิ่มขึ้น247ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ7,837ล้านบาท)หรือร้อยละ 19.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมี กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) รวม 517 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 16,403 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการถ่านหินที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่องผนวกกับอุปทานที่มีอยู่อย่างจำกัดในไตรมาสที่ 2 ส่งผลให้ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และมีกำไรสุทธิรวม 84 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,665 ล้านบาท) พร้อมเดินหน้าองค์กรเพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของโลกด้วยพันธสัญญาของ แบรนด์ใหม่ “Our Way in Energy: พลังบ้านปูฯ สู่พลังงานที่ยั่งยืน”
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผลประกอบการครึ่งปีแรกมีรายได้ที่โดดเด่นเนื่องจากราคาถ่านหินในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และคาดว่าความต้องการถ่านหินจะยังคงมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด บริษัท PT Indo Tambangraya Megah Tbk. (ITM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูฯ ได้ซื้อเหมืองแห่งใหม่ที่เกาะกาลิมันตันตอนกลางในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย เพื่อตอบรับกับความต้องการถ่านหินที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าน่าจะเพิ่มปริมาณสำรองถ่านหินให้กับบริษัทฯ ได้ราว 77 ล้านตัน
นอกจากนี้ บ้านปู เพาเวอร์ฯ อีกหนึ่งบริษัทย่อยของบ้านปูฯ เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนด้วยการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ที่จังหวัดซอกจัง (Soc Trang) คาดว่าโครงการระยะที่ 1 จะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2563 นับเป็นการเดินหน้าตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง”
สำหรับผลการดำเนินงานของบ้านปูฯ ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2561 มีรายได้จากการขายรวม 813 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 26,964 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 180 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 5,711 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหนุนจากปริมาณการขายถ่านหินและราคาขายถ่านหินเฉลี่ยที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ในไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 290 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 9,618 ล้านบาท) ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 27.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้เท่ากับ 124 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 4,112 ล้านบาท) สูงขึ้นเกือบเท่าตัวจากกำไรสุทธิ 66 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2561 สามารถจำแนกตามประเภทธุรกิจได้ดังนี้
ธุรกิจถ่านหิน ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2561 มีรายได้จากการขายรวม 706 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 23,416 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณอุปทานถ่านหินที่มีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 76.93 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับในปีก่อนหน้า แบ่งเป็นปริมาณการขายจากเหมืองในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 5.34 ล้านตัน และออสเตรเลีย 3.78 ล้านตัน
ธุรกิจไฟฟ้า มีรายได้จากการขายรวมจากธุรกิจ ไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่นๆ 72 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,388ล้านบาท) ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรที่ดีจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องของโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และหงสา ส่งผลให้ธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาสนี้มี EBITDA 67 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,222 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 13.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา มีรายได้จากการขายที่ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,160 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 298 ล้านบาท) หรือร้อยละ 34.6 จากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลมาจากปริมาณขายที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้
นางสมฤดี กล่าวว่า “วันนี้ บ้านปูฯ ก้าวสู่การเป็น “บริษัทพลังงานแบบครบวงจร” อย่างแท้จริงใน 10 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครอบคลุมธุรกิจต้นน้ำ (ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ) กลางน้ำ (การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานรวมไปถึงการค้าถ่านหิน) และปลายน้ำ (ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และระบบการจัดการเทคโนโลยีพลังงาน) เราพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยกลยุทธ์ Greener & Smarter ที่เน้นการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีความชาญฉลาดยิ่งขึ้น ควบคู่กับพลังขององค์กรที่พร้อมจะสร้างคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานของผู้บริโภค ชุมชนและสังคม ได้อย่างยั่งยืนตามพันธสัญญาของแบรนด์ใหม่ Our Way in Energy: พลังบ้านปูฯ สู่พลังงานที่ยั่งยืน” นางสมฤดี กล่าวปิดท้าย