ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีผู้นำที่สามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และชุมชนได้อย่างกลมกลืน ถือเป็นทรัพยากรล้ำค่า และหนึ่งในบุคคลที่สะท้อนบทบาทนั้นได้อย่างชัดเจนคือ ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์ นักธุรกิจหญิงมากความสามารถ (ฝากรองประธาน บีดีไอ กรุ๊ป) ผู้ก่อตั้งและรับใบอนุญาตวิทยาลัยเทคโนโลยีไทย-ไต้หวัน และอีกหนึ่งบทบาท “นายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย” สมัยที่ 48 ผู้ขับเคลื่อนความสัมพันธ์ไทย–ไต้หวันด้วยวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งและหัวใจที่เปิดกว้าง
วิสัยทัศน์แห่งการสร้างคน สร้างชาติ สร้างอนาคต
ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์ คือผู้นำหญิงที่หลอมรวมบทบาทนักธุรกิจ นักการศึกษา และนักพัฒนาองค์กรชุมชนไว้ในคนเดียวกันอย่างกลมกลืน ด้วยความเชื่อมั่นว่า “การสร้างคนดี” คือรากฐานของสังคมที่ยั่งยืน และ “การศึกษาที่ดี” คือเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการเปลี่ยนชีวิตคน
ในฐานะผู้บริหารกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ดร.บรินดา เห็นช่องว่างระหว่างการศึกษากับความต้องการของอุตสาหกรรม จึงก่อตั้งวิทยาลัยเทคโนโลยีไทย–ไต้หวัน (บีดีไอ) ขึ้นเพื่อผลิตบุคลากรสายเทคนิคที่มีทักษะตรงกับตลาดแรงงาน โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทไต้หวันที่ลงทุนในไทย
สำหรับวิทยาลัยเทคโนโลยีไทย–ไต้หวัน เปิดสอนระดับ ปวช. จำนวน 4 สาขา ประกอบด้วย เปิดสอน 4 สาขา ประกอบด้วย ช่างกลโรงงาน ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล และ โลจิสติกส์ ขณะที่ระดับ ปวส. มีทั้งหมด 8 สาขา ประกอบด้วย เทคนิคยานยนต์ไฟฟ้า เทคนิคการผลิต ไฟฟ้ากำลัง ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ การบัญชี การบัญชี (ภาษาจีน) เทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล และโลจิสติกส์ – ซัพพลายเชน ซึ่งเป็นสาขาที่ตอบโจทย์ตลาดแรงงานในภาคการผลิตแทบทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน จุดเด่นของวิทยาลันฯ ยังใช้ระบบทวิภาคี โดยกำหนดให้นักเรียนได้มีโอกาสฝึกงานจริงในสถานประกอบการ ซึ่งในแต่ละปีมีผู้จบการศึกษาราว 200 คน โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพื่อให้เด็กมีงานทำทันทีหลังเรียนจบ
นอกจากนี้ ในระหว่างที่ศึกษาทางวิทยาลัย จะมีทุนการศึกษา เงินเดือน และที่พัก ให้กับนักเรียนอีกด้วย เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเด็กด้อยโอกาส โดยเฉพาะเด็กในพื้นที่บนดอยทางภาคเหนือและตามแนวชายแดนของไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขาดโอกาสทางการศึกษา และหากเด็กสามารถพูดภาษาจีนได้ ก็มีโอกาสสูงในการเข้าทำงานในบริษัทขนาดใหญ่ เพราะเป็นที่ต้องการในตลาดงานอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น ทางบีดีไอ จึงได้มอบทุนการเรียนภาษาจีนให้เด็กนักเรียนเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย
ดร.บรินดา บอกด้วยว่า การก่อตั้งวิทยาลัยดังกล่าว ได้รับแรงบันดาลใจจากคุณพ่อที่เชื่อว่า “การให้การศึกษา คือการตอบแทนประเทศที่เราอาศัยอยู่” โดยยึดหลักปรัชญาแบบจีนที่เน้นความกตัญญูและการเป็นผู้ให้ก่อนจะเป็นผู้รับ และยังเป็นการช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสจากพื้นที่ห่างไกล ให้มีอนาคตที่ดี และเด็กๆ เหล่านี้มีเป้าหมายชัดเจน คือ เรียนจบ มีงาน มีเงินเดือน เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ดังนั้น ณ วิทยาลัยแห่งนี้ จึงไม่ใช่แค่สถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่เพาะบ่มคนคุณภาพ ไม่ใช่แค่ทักษะอาชีพ แต่ยังปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม
ซึ่ง ดร.บรินดาเชื่อว่า “คนดีหนึ่งคนต้องใช้เวลาสร้างนานกว่าต้นไม้หนึ่งต้น” (ปลูกต้นใช้เวลา10ปี สร้างคนดีใช้เวลาร้อยปี)และการศึกษาคือเครื่องมือที่ยั่งยืนที่สุดในการสร้างคนดี หากได้รับการปลูกฝังในสิ่งที่ดีงามตั้งแต่ต้น ถึงแม้ว่าธุรกิจทางด้านการศึกษาจะไม่สร้างกำไร แต่สร้างคุณค่าที่ยั่งยืนที่สุด ที่สำคัญการทำประโยชน์เพื่อสังคมคือความสุขที่แท้จริง และเป็นการตอบแทนโอกาสที่ได้รับจากแผ่นดินไทยอีกด้วย
สานสัมพันธ์ไทย–ไต้หวัน สู่ปีที่ 80
นอกจากบทบาทนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว อีกหนึ่งบทบาทในฐานะ “นายกสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย” สมัยที่ 48 ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์ ยังทำหน้าที่สานต่อจากคนรุ่นก่อนได้อย่างสมบูรณ์ จากจุดเริ่มต้น สมาคมฯ ที่มีรากฐานดั้งเดิมที่จังหวัดสมุทรปราการ และเติบโตจนกลายเป็นสมาคมไต้หวันที่ใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับสมาคมไต้หวันแห่งประเทศไทย นับเป็นหนึ่งสมาคมสำคัญในการเป็นสถานที่พบปะของนักธุรกิจชาวไต้หวัน หรือชาวจีนโพ้นทะเล ในขณะเดียวกัน ยังมีบทบาทในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ระหว่างไทยและไต้หวันมาอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ ดร.บรินดาเชื่อว่าวัฒนธรรมคือสะพานเชื่อมใจระหว่างสองชาติ โดยเฉพาะ Soft Power ที่ไต้หวันมีจุดแข็งด้านดนตรี อาหาร และการท่องเที่ยว ซึ่งสามารถต่อยอดไปในด้านธุรกิจของทั้งสองประเทศได้อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาทางสมาคมฯได้มีส่วนในการเชื่อมธุรกิจผ่านการจัดงานอีเวนต์ใหญ่อย่าง Taiwan Expo ซึ่งเป็นฟอรั่มด้านเทคโนโลยี เช่น AI, Automation, Smart Tech โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากไต้หวันมาร่วมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทุกปี เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ไต้หวัน เป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ในระดับใลก
ดร.บรินดา กล่าวต่อด้วยว่า ในปี 2570 จะครบรอบ 80 ปี ของการก่อตั้งสมาคมฯ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทยและไต้หวันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น โดยได้วางแผนไว้ว่าจะมีการมอบรางวัลให้นักธุรกิจไต้หวันที่อยู่ในไทยเกิน 50 ปี เพื่อเชิดชูคุณูปการและประกาศเกียรติคุณให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะมีการจัดกิจกรรมวัฒนธรรม เช่น คอนเสิร์ตเพลงจีน–ไต้หวัน, กอล์ฟทัวร์นาเมนต์คนจีนโพ้นทะเล ซึ่งจะเป็นกิจกรรมพิเศษเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปี นอกเหนือจากกิจกรรมที่ทางสมาคมฯ จัดเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น การจัดกีฬาสีทุก 2 ปี และกิจกรรมย่อย เช่น แข่งโบว์ลิ่ง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของสมาคมฯ และการมอบทุนการศึกษาให้ลูกหลานชาวไต้หวันที่เรียนดี ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี เป็นต้น
“จุดเด่นของไต้หวันนอกเหนือจากทางด้านเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่เราอยากจะส่งเสริมให้คนไทยรู้จักมากยิ่งขึ้น คือ วัฒนธรรมไต้หวัน ซึ่งทุกวันนี้เรามักเรียกกันติดปากว่าซอฟต์พาวเวอร์ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว หากจำกันได้ก่อนหน้านี้เราเคยมีซอฟต์พาวเวอร์ทั้งเพลงและละคร ที่เคยได้รับความนิยมในไทย เช่น เพลงเติ้งลี่จวิน หรือซีรียส์ F4 ก่อนยุคเกาหลีจะเข้ามา หรือวัฒนธรรมการดื่มชานมไข่มุก เป็นต้นสิ่งเหล่านี้เราจะพยายามสร้างให้เกิดการรับรู้ให้กับคนไทย พร้อมๆ กับทำให้คนไต้หวันเข้าใจวัฒนธรรมไทยมากยิ่งขึ้นด้วย” ดร.บรินดากล่าว
พร้อมกันนี้ ดร.บรินดา ยังมองถึงอนาคตของสมาคมฯ ว่า หลังจากนี้ จะพยายามปรับภาพลักษณ์สมาคมฯให้ทันสมัย โดยมีผู้นำอายุน้อยลง กระตุ้นให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสานต่อภารกิจ เพื่อให้สมาคมมีชีวิตชีวาและยั่งยืน เพราะเชื่อว่าการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
แน่นอนว่า ด้วยมุมมองและแนวคิดของ “ดร.บรินดา จางขจรศักดิ์” คือภาพสะท้อนของผู้นำที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถทางธุรกิจ แต่ยังมีหัวใจที่มุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่ดีขึ้น พร้อมกับบทบาทผู้เชื่อมโยงไทย–ไต้หวัน ด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือ และความรักของชาวจีนโพ้นทะเลและคนไทยได้อย่างลงตัว
และสิ่งที่ทำให้ ดร.บรินดา แตกต่างจากผู้นำทั่วไป คือความสามารถในการผสมผสานระหว่าง “ความเป็นนักธุรกิจ” กับ “ความเป็นคนเสียสละเพื่อส่วนรวม” จึงไม่เพียงแต่มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังมองเห็นคุณค่าของการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนให้กับทุกภาคส่วนอีกด้วย