“วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ กับภารกิจรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย

Economic Economic News

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายวิทัย รัตนากร ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ นับเป็นคนที่ 25 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป การเข้ารับตำแหน่งของนายวิทัยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และความจำเป็นในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับอนาคต

ก่อนหน้านี้ ในช่วงสรรหาผู้ว่า ธปท. คนใหม่นั้น พลันปรากฏชื่อ “วิทัย รัตนากร” ขึ้นมาเป็นหนึ่งในตัวเต็ง ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งภาคธุรกิจ นักวิชาการและประชาชนทั่วไป พร้อมกับกระแสต่อต้าน ด้วยข้อวิตกกังวลในประเด็น “ความเป็นอิสระทางการเมืองของผู้ว่าแบงก์ชาติ” ถึงขั้นที่มีข้อกล่าวหาว่า “เป็นคนของพรรคการเมืองส่งมา”

แต่หากวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่หลายฝ่ายหยิบยกขึ้นมานั้น อาจมีเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้าน นั่นก็คือ “วิทัย” ไม่ใช่ลูกหม้อแบงก์ชาตินั่นเอง เพราะลึก ๆ แล้ว ไม่ได้มีความสนิทสนมกับพรรคเพื่อไทยหรือเป็นคนของพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ “วิทัย” ได้นั่งเก้าอี้เบอร์ 1 ขององค์กร ล้วนเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในสมัยนั้นแต่งตั้ง “วิทัย” เป็นเลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) ในปี 2561 ถนัดมาในปี 2563 ในสมัย นายอุตตม สาวมนายน นั่งรัฐมนตรีว่าการคลัง ได้แต่งตั้งให้ “วิทัย” เป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งทั้งสองตำแหน่งที่ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยเลย

​จากข้อวิตกกังวลดังกล่าวทำให้ นายวิทัย ต้องออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมน้อมรับคำแนะนำและรับทราบถึงความกังวลของหลายฝ่าย โดยระบุว่า “จากใจของผม ที่ผ่านมา ทำหน้าที่เป็น CEO ในหลายหน่วยงาน ซึ่งแต่ละตำแหน่งย่อมมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไป ประสบการณ์และตัวตนที่ชัดเจน ทำให้เชื่อมั่นว่าสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระบนหลักการ ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ปราศจากอำนาจครอบงำจากกลุ่มใด ๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งจำเป็น และขอยืนยันในจุดยืนที่มั่นคง”

​สุดท้ายทางรัฐบาลก็ได้เลือก “วิทัย” เป็นผู้ว่า ธปท. คนใหม่ ด้วยเหตุผลที่ว่า นายวิทัยแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้ดี และสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งเชื่อว่าจะสามารถประสานนโยบายการเงินและนโยบายการคลังได้เป็นอย่างดี

​แต่อย่างไรก็ดี หากมองในแง่ผลงานการบริหารองค์กร นายวิทัย ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงหลักการในการทำงานตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นผู้บริหารในภาคการเงินที่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมมากที่สุดคนหนึ่ง เริ่มจากการกำหนดบทบาทของ ธนาคารออมสิน ให้เป็น “Social banking” เน้นความเป็นธนาคารเพื่อสังคม ไม่ได้เน้นในเรื่องผลกำไร ดังเช่นสถาบันการเงินทั่วไป

โดยมีผลงานที่เป็นรูปธรรมหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น การมีส่วนทำให้ดอกเบี้ยจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ ที่เคยสูงถึง 28% ลดเหลือ 18-20% ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินให้กับกลุ่มคนฐานรากได้อย่างมาก รวมไปถึงการจัดตั้ง บริษัท มีที่มีเงิน เพื่อทำให้คนมีที่ดินได้ไปต่อในช่วงสภาพคล่องขาดมือ ด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าท้องตลาด, การตั้งบริษัทเงินดีดี เพื่อทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าท้องตลาด และการร่วมทุนตั้งบริษัทจัดการสินทรัพย์ ที่ชื่อ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (ARI AMC) เพื่อช่วยคนไทยช่วยผู้ประกอบการให้รักษาสินทรัพย์ไว้ได้ ด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมและผ่อนปรน กว่าบริษัทจัดการสินทรัพย์แห่งอื่นๆในตลาด

ผลงาน 5 ปี นำ ‘ออมสิน’ สร้าง Social Impact

อย่างไรก็ดี ตลอดระยะเวลา 5 ปี บนเก้าอี้ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน นายวิทัย ได้ฝากผลงาน โดยเฉพาะในด้านการสร้าง Social Impact เกิดผลกระทบเชิงบวก คิดเป็นตัวเลขแล้ว สามารถช่วยเหลือคนไทยจำนวนกว่า 13 ล้านคน จากจำนวนบัญชีทั้งสิ้น 18.8 ล้านบัญชี คิดเป็นเม็ดเงิน 1.4 ล้านล้านบาท

ที่สำคัญแม้ว่าธนาคารจะปรับจุดยืนทางยุทธศาสตร์เป็นธนาคารเพื่อสังคม ช่วยคนฐานรากมากขึ้น แต่สถานะทางการเงินยังเติบโตแข็งแกร่ง ไม่เกิดความเสียหายแก่องค์กร โดยธนาคารออมสินยังสามารถนำส่งเงินกำไรให้เป็นงบประมาณกับรัฐบาลได้มากกว่า 96,000 ล้านบาท ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา นับเป็นรัฐวิสาหกิจที่ส่งเงินให้รัฐสูงสุดหนึ่งในสามลำดับแรก

สู่บทบาทใหม่ “รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ – การเงิน”

จากบทบาทเดิมของ “วิทัย” ตลอดระยะเวลา 5 ปี กับธนาคารออมสิน เน้นไปที่การเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง และการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก แต่การเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ มีโจทย์ยากและท้าทายรออยู่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น

– สงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ : ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย
– อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ: การรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อยังคงเป็นโจทย์สำคัญ
– หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ: การบริหารความเสี่ยงจากระดับหนี้ที่สูงในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ
– การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล: การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้ทันสมัย
– เสถียรภาพของระบบธนาคาร: การดูแลให้สถาบันการเงินมีความมั่นคงและสามารถรับมือกับวิกฤตในอนาคต
ขณะเดียวกัน อีกหนึ่งโจทย์สำคัญคือการรักษาความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือของ ธปท. ในฐานะองค์กรอิสระที่ดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นสิ่งท้าทายของ “วิทัย” ในฐานะผู้ว่าการธปท. คือ การยืนอยู่ในจุดที่ “เป็นกลางโดยสมบูรณ์” เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินทั้งระบบ

ขณะเดียวกันหลายฝ่ายได้ตั้งความหวังว่า การเข้ามาดำรงตำแหน่ง ผู้ว่า ธปท. ของ “วิทัย” ในครั้งนี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยในยุคที่โลกการเงินกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสามารถในการประสานนโยบายการเงินกับความต้องการของประชาชน เพราะที่ผ่านมา มักมีคำกล่าวว่า “คนแบงก์ชาติ อยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่สนใจปากท้องชาวบ้าน” รวมไปถึงการรักษาเสถียรภาพในระยะยาว ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าเขาจะสามารถสร้างความสมดุลระหว่างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศไทยได้หรือไม่ เวลาเท่านั้นจะเป็นผู้ให้คำตอบ

อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา เชื่อว่า “วิทัย” น่าจะเข้าใจดี ถึงสภาพเศรษฐกิจไทยในยุคปัจจุบันอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ดังนั้น การบริหารนโยบายเศรษฐกิจอย่างมีวิสัยทัศน์และความยืดหยุ่นจะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

นายวิทัย รัตนากร

การศึกษา
ปริญญาตรี: คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปริญญาโท: เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กฎหมายธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, การเงิน Drexel University, USA
ตำแหน่งผู้บริหารองค์กร
– ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
– เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
– กรรมการ และรักษาการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
– ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน)