เคลมดิ โตไม่หยุด ขอขึ้นเบอร์หนึ่งเคลมรถยนต์

Insurance

            “เคลมดิ” โตต่อเนื่อง ทั้งยอดเคลมและส่วนแบ่งตลาด เผยยอดดูแลรถยนต์ทั่วประเทศ 50%  รุกขยายฐานต่างประเทศอีก 3 แห่ง ไต้หวัน มาเลเซีย จีน พร้อมรองรับเทคโนโลยีใหม่สายรถยนต์ ทั้ง UBI บล็อคเชน ไอโอที เตรียมเข็นทดลองตลาดประกันภัยปีหน้า

กิตตินันท์ อนุพันธ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จำกัดและผู้ก่อตั้งของเคลมดิ เปิดเผยว่า ในปี 2018 ที่ผ่านมาเคลมดิครองส่วนแบ่งการตลาดการงานบริการเคลมประกันภัยรถยนต์เป็น 1.45% จากที่ปี 2017 มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 1% และวางแผนเพิ่มส่วนแบ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2019 นี้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งที่ 5.46% และในปี 2020 จะได้ส่วนแบ่งถึง 15.29% ของจำนวนการเคลมประกันภัยรถยนต์ทั้งประเทศ ทำให้ยอดรายได้ในปีนี้ของเคลมดิจะสูงถึง 8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าปีที่ผ่านมาที่ทำได้เพียง 3.50 ล้านเหรียญฯ

การเติบโตในปีนี้มีผลต่อเนื่องมาจากการขยายงานจนสามารถสร้างการประหยัดด้วยขนาดหรือ economy of scale ซึ่งเคลมดิได้สร้างงานบริการด้วยระบบดิจิตอลในแบบเครือข่าย ตั้งแต่การขยาย claim di biker หรือพนักงานเคลมประกันไปสูงถึง 9,000 คันทั่วประเทศ สามารถเพิ่มยอดผู้ใช้งานแอพพลิเคชันได้สูงถึง 1.5 ล้านดาวน์โหลด โดยมีผู้ใช้งานที่ต่อเนื่องถึง 6 แสนราย ขณะเดียวกันภายในปีนี้จะทำการขยายระบบคอลเซ็นเตอร์ถึง 100 ที่นั่งโดยที่ให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีระบบ data processing ในการประมวลผลระบบประกันภัยมากถึง 60 ที่นั่งเพื่อรองรับงานมากกว่า 80,000 งานต่อเดือน

“ปัจจุบันงานเคลมประกันรถยนต์ทั่วประเทศจะมีประมาณ 1 ล้านงานต่อเดือน ในปีที่ผ่านมาเคลมดิได้ส่วนแบ่งการตลาดที่ 15,000 งานต่อเดือน หรือ 1.45% ถือเป็นรายเดียวที่สามารถดำเนินการเรื่องการเคลมประกันได้ด้วยระบบดิจิตอล และทำให้การดำเนินการทุกกระบวนการจบได้ในที่เดียว โดยที่มีนักสำรวจประกันภัยรองรับทั่วประเทศ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทประกันภัยในเรื่องการเคลมประกันให้ดูแลงานเคลมประกันทั้งหมด ส่งผลให้ยอดรายได้ของเคลมดิเติบโตถึง 20% และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายกิตตินันท์ กล่าว

ในขณะนี้เคลมดิได้เข้าดูแลด้านเคลมประกันด้วยระบบดิจิตอลรองรับบริษัทประกัยภัยถึง 50% ของทั้งหมด และมีจำนวนรถยนต์ที่อยู่ในความดูแล 50% ด้วยเช่นกัน และโครงการ Butterfly Effect เป็นโครงการ ที่จะทำให้การปฏิเสธงานของเคลมดิเป็น 0% นั่นคือ สามารถรองรับคำร้องการเคลมประกันได้ในทุกรูปแบบ และสามารถขยายการบริการได้มากขึ้นในทุกๆ ปี ซึ่งระบบของเคลมดิในปัจจุบันสามารถประหยัดเวลาให้ธุรกิจประกันถึง 80% ลดต้นทุนจากเดิมถึง 90% ที่สำคัญลดปัญหาทุจริตได้ถึง 100%

สำหรับแนวโน้มใหม่ของการประกันภัย ซึ่งบริษัททางด้าน Insurtech หรือ สตาร์ทอัพทางด้านธุรกิจประกันภัยกำลังปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับกับเทคโนโลยีใหม่ในเร็วๆนี้ ทางเคลมดิได้ประเมินและพร้อมปรับเข้าสู่ระบบ UBI หรือ Usage Base Insurance ที่กำลังเข้าสู่ยุคที่รถยนต์จะกลายเป็นเหมือนโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง นอกจากรถยนต์สามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง มีระบบการบริหารการแบ่งปันในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ ดังนั้นการบริการใหม่ๆ เพื่อรองรับต้องมีการออกแบบเพื่อรองรับเรื่องนี้แต่เนิ่นๆ

นอกจากนั้นยังมีการเตรียมรองรับการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อความปลอดภัยในระบบงานประกันภัยด้วยเทคโนโลยี Blockchain ที่ทำให้ธุรกรรมในการประกันไม่จำเป็นต้องมารวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง แต่ข้อมูลสามารถเก็บไว้ที่ผู้ทำประกันและการเชื่อมต่อกับหน่วยอื่นๆ สามารถเชื่อมต่อกันได้โดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดแนวคิดใหม่ของการทำประกันเกิดขึ้นจำนวนมาก รวมถึงระบบ IOT หรือ Internet Of Things ที่รถยนต์จะกลายเป็นเครื่องส่งสัญญาณ ทั้งหมดนี้ทางเคลมดิกำลังอยู่ระหว่างการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เหล่านี้ออกมารองรับธุรกิจประกันภัยรถยนต์ทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าภายในปีหน้าเคลมดิจะสามารถทดสอบระบบเหล่านี้ก่อนที่จะออกสู่ตลาดจริงในอนาคต

ในปีนี้เคลมดิเตรียมรุกตลาดต่างประเทศครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากที่ได้สร้างฐานการทำประกันภัยด้วยระบบดิจิตอลที่ประเทศไนจีเรีย และสิงคโปร์ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้เคลมดิเตรียมจับมือกับพันธมิตรเพื่อรุกตลาดในประเทศมาเลเซีย ไต้หวัน และจีน ในลักษณะการตั้งบริษัทร่วมทุนเข้าวางระบบเคลมประกันภัยในธุรกิจประกันรถยนต์รายใหญ่ของประเทศเหล่านี้ ซึ่งจะทำให้เคลมดิมีการขยายฐานผู้ใช้ และยอดการใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้แบบมีนัยสำคัญ