ไทยรีประกันชีวิต(THREL) เร่งเดินหน้า New S-Curve ปั๊มรายได้สุทธิปี 64 โตกว่า 5%

Insurance

THREL ประกาศเร่งเครื่อง New S-Curve ดันรายได้สุทธิทั้งปี 2564 โตไม่ต่ำกว่า 5% คุมเข้มความเสี่ยงรับงาน-เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารค่าใช้จ่าย กด Combined Ratio ต่ำกว่า 95% พร้อมแจงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 กำไรสุทธิเกือบ 30 ล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อน หลังกวาดรายได้สุทธิกว่า 520 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผลจากผลการดำเนินงานงวดปี 2563 อัตรา 14 สต./หุ้น คิดเป็น Dividend Yield กว่า 4% วันที่ 19 พ.ค.นี้

นายสุทธิ รจิตรังสรรค์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ THREL เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯได้เร่งเดินหน้าตามแผน New S-Curve ด้วยการผนึกความร่วมมือพันธมิตรพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมไปถึงการสร้างโซลูชั่น และโมเดลธุรกิจ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เอาประกันได้อย่างลงตัว สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น ตั้งเป้าพัฒนา 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ร่วมกับบริษัทรับประกันภัยต่อ (Reinsurer Partner)

รวมมรวมการทำสัญญาใหม่ภายใต้ความร่วมมือกับโบรกเกอร์ และพันธมิตรด้านเทคโนโลยีอย่างน้อย 2 สัญญาภายในปีนี้ ควบคู่ไปกับการมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทร่วมพัฒนา (Non-conventional Product) เพื่อผลักดันภาพรวมรายได้สุทธิทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 5% เทียบจากปี 2563 ที่ทำได้ราว 2,340 ล้านบาท ภายใต้การควบคุมความเสี่ยงการรับงาน ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาระดับ Combined Ratio (COR) ให้ต่ำกว่า 95% หนุนขีดความสามารถการทำกำไรให้ปรับสูงขึ้น

นายสุทธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทฯกำไรสุทธิ 28 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยต่อที่ถือเป็นรายได้สุทธิ 524 ล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยและการดำเนินงานเพิ่ม 2% อยู่ที่ 33 ล้านบาท จากการเพิ่มของค่าสินไหมทดแทนสุทธิ (เคลม) ราว 8% แตะ 351 ล้านบาท ทำให้ Combined Ratio อยู่ที่ราว 98% ตามภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันชีวิตภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การตั้งสำรองประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะยาว ปรับลดลง 11 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการลงทุนสุทธิเติบโตกว่า 1 เท่า แตะ 18 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมจ่ายเงินปันผลประจำปีงวดผลการดำเนินงานปี 2563 อัตรา 14 สตางค์ต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) กว่า 4% ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2564